เรื่องเล่าของ “ถังน้ำ”

วันนี้ได้รับ forward mail ตอนแรกก็ไม่คิดจะเปิดอ่านหรอกครับ เพราะหัวข้อเมลไม่ดึงดูด แต่พอดีวันนี้ว่างๆ อยากพักสมองซักหน่อย จากตอนแรกที่คิดว่าเป็นเมลที่ไม่น่าสนใจพอได้อ่านแล้วก็อดเอามาให้เพื่อนๆ อ่านด้วยไม่ได้ งั้นก็เริ่มกันเลยและกันครับ

เรื่องก็มีอยู่ว่า

ชายจีนคนหนึ่งแบกถังน้ำสองใบไว้บนบ่าเพื่อไปตักน้ำที่ริมลำธาร
ถังน้ำใบหนึ่งมีรอยแตก ในขณะที่อีกใบหนึ่งไร้รอยตำหนิ
และสามารถบรรจุน้ำกลับมาได้เต็มถัง
แต่ด้วยระยะทางอันยาวไกล จากลำธารกลับสู่บ้าน
จึงทำให้น้ำที่อยู่ในถังใบที่มีรอยแตกเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ดำเนินมาเป็นเวลา 2 ปีเต็มที่คนตักน้ำสามารถตักน้ำกลับมาบ้านได้หนึ่งถังครึ่ง
ซึ่งแน่นอนว่าถังน้ำใบที่ไม่มีตำหนิจะรู้สึกภาคภูมิใจ ในผลงานเป็นอย่างยิ่ง
ในขณะเดียวกันถังน้ำที่มีรอยแตกก็รู้สึก อับอายต่อความบกพร่องของตัวเอง
มันรู้สึกโศกเศร้ากับการที่มันสามารถทำหน้าที่ได้เพียงครึ่งเดียวของจุดประสงค์ ที่มันถูกสร้างขึ้นมา
หลังจากเวลา 2 ปี ที่ถังน้ำที่มีรอยแตกมองว่าเป็นความล้มเหลวอันขมขื่น
วันหนึ่งที่ข้างลำธาร มันได้พูดกับคนตักน้ำว่า
"ข้ารู้สึกอับอายตัวเองเป็นเพราะรอยแตกที่ด้านข้างของตัวข้า
ทำให้น้ำที่อยู่ข้างในไหลออกมาตลอดเส้นทางที่กลับไปยังบ้านของท่าน"
คนตักน้ำตอบว่า
"เจ้าเคยสังเกตหรือไม่ว่า มีดอกไม้เบ่งบานอยู่ตลอดเส้นทางในด้านของเจ้า
แต่กลับไม่มีดอกไม้อยู่เลยในอีกด้านหนึ่ง
เพราะข้ารู้ว่าเจ้ามีรอยแตกอยู่
ข้าจึงได้หว่านเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ลงข้างทางเดินด้านของเจ้า
และทุกวันที่เราเดินทางกลับ ...
เจ้าก็เป็นผู้รดน้ำให้เมล็ดพันธุ์เหล่านั้น
เป็นเวลาสองปี ที่ข้าสามารถที่จะเก็บดอกไม้สวยๆ เหล่านั้นกลับมาแต่งโต๊ะกินข้าว
หากปราศจากเจ้าที่เป็นเจ้าแบบนี้แล้ว ...
เราก็คไม่อาจได้รับความสวยงามแบบนี้ได้"
คนเราแต่ละคนย่อมมีข้อบกพร่องที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง
แต่รอยตำหนิและข้อบกพร่องที่เราแต่ละคนมีนั้น
อาจช่วยทำให้การอยู่ร่วมกันของเราน่าสนใจ
และกลายเป็นบำเหน็จรางวัลของชีวิตได้
สิ่งที่ต้องทำก็เพียงแค่ยอมรับคนแต่ละคนในแบบที่เขาเป็น
และมองหาสิ่งที่ดีที่สุดในตัวของพวกเขาเหล่านั้นเท่านั้นเอง

บทสรุปที่น่าสนใจคือ “มองโลกหลายๆ ด้าน เพราะคนเราไม่ได้มีแต่ข้อเสียเท่านั้น”

ขอขอบคุณ forward mail ที่ทำให้ด้านอ่านบทความดีๆ อย่างนี้ครับ